ท่านพ่อสุ่น ธมฺมสุวณฺโณ
เดินทางลงเรือหนีไปบางกะสร้อย
นิมนต์ท่านพ่อสุ่นเป็นเจ้าอาวาส
เมื่อกลับมาเป็นเจ้าอาวาส
ฝรั่งเศสยิงไก่
ฝรั่งเศสลูบหัว
เสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตน
ฝรั่งเศสขโมยพระพุทธรูปต้มน้ำกิน
ชกฝรั่งเศสสลบ
ฝรั่งเศสเชิญไปรักษา
หมาท่านพ่อกัดกับหมาฝรั่งเศส
ไก่กระดูกดำ
หมาที่วัดไปกัดหมูชาวบ้าน
เป็นผู้มีอาคมทางเมตตายิ่งนัก
วาจาประกาศิต
เลือดรักชาติ
ยิงกระสุนโค้ง
พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จมาวัด
เกี่ยวพันกับหลวงพ่ออี๋
โดนเลื่อยล้อเกวียน
นายอุปถัมภ์ลูกศิษย์เอก
บุญบารมีสูงยิ่ง
เป็นผู้มีอำนาจยิ่งนัก
ลูกศิษย์ท่านพ่อไปชลบุรี
กรมหลวงชุมพรเคยมาหา
ลูกศิษย์เป็นเสือ
พิธีปลุกเสกตะกรุดของท่านพ่อสุ่น
พระตะกั่ว
ท่านพ่อสุ่นมรณะภาพ
   

 

 
 

ประวัติท่านพ่อสุ่น ธมฺมสุวณฺโณ :: ลูกศิษย์เป็นเสือ

 
 

นายจ๋ายผู้นี้เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิท่านพ่อ รุ่นก่อนนายถัม โดยบวชเณรกับท่านจนเป็นพระ นายจ๋ายบวชพระสึกออกมาก็ได้เลี้ยงหมู และพอขายหมูคนขายหมูก็ให้แบงค์เก๊พอนำเงินไปใช้ก็ถูกตำรวจจับ แต่ระหว่างทางที่คุมตัวมา นายจ๋ายกระโดดน้ำหนีไปได้ นายจ๋ายเมื่อหนีตำรวจมาได้ก็ตามฆ่าพ่อค้าหมูจนตายด้วยความแค้น พอฆ่าคนตายทางตำรวจก็ทำการล่าตัวออกหมายจับ นายจ๋ายผู้นี้จึงกลายเป็นเสือจ๋ายไปโดยปริยาย เสือจ๋ายต่อมาได้ฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตามล่าตัวตายไปหลายคน เพราะเสือจ๋ายเป็นผู้มีอาคมยิ่ง
นัก เสือจ๋ายตามประวัติไม่เคยปล้นมีแต่ขอเงินคนรวยแบ่งให้คนจน เสือจ๋ายผู้นี้ตำรวจไม่สามารถฆ่าได้เพราะยิงก็ยิงไม่ออก เสือจ๋ายสามารถกำบังตัวได้ เช่นคราวหนึ่งถูกตำรวจล่าตัวมากระชั้นชิด เสือจ๋ายก็จะแกล้งหกล้มตำรวจที่ไล่มาก็จะพากันวิ่งเลยกันไปจนหมด บางคราวรู้ว่าตำรวจกำลังตระเวน ตามหาตัวก็จะแกล้งโผล่จากราวป่าให้ตำรวจเห็น พอตำรวจเห็นก็พากันใช้ปืนยิงแต่ก็ยิงไม่ออกเสือจ๋ายก็ยืนหัวเราะแล้วหนีหายไป หรือบางทีก็แกล้งจุดใต้เดินผ่านสถานีตำรวจ เพราะสมัยนั้นมีข้อห้ามว่า ห้ามจุดใต้เดินผ่านสถานีตำรวจยามค่ำคืน เสือจ๋ายเมื่อจุดใต้เดินผ่านสถานีตำรวจ ตำรวจที่อยู่ป้อมก็จะถามว่า "ใครจุดใต้เดินผ่านสถานีค่ำๆมืดๆอย่างนี้" เสือจ๋ายก็ตอบว่า "เสือจ๋ายเอง" แล้วก็เดินผ่านไป เสือจ๋ายจึงเป็นที่ปวดหัวของตำรวจสมัยนั้นยิ่งนักเพราะปราบยังไงก็ปราบไม่ได้ ซ้ำคนที่นำไปปราบก็ถูกเสือจ๋ายฆ่าตายมากขึ้นทุกที เสือจ๋ายถึงจะเป็นเสือหนีเงื้อมมือกฎหมายก็ยังเคารพนับถือท่านพ่อสุ่นยิ่งนัก วันพระวันใดถ้าท่านพ่อเทศน์โปรดชาวบ้าน เสือจ๋ายจะมาร่วมนั่งฟังเทศน์ด้วยทุกครั้ง เสือจ๋ายจะนั่งฟังเทศน์ตรงมุมมืดข้างต้นเสาเพียงคนเดียวและจะต้องฟังท่านพ่อเทศน์จนจบทุกครั้งไป มีอยู่คราวหนึ่งเป็นวันพระท่านพ่อท่านก็เทศน์โปรดชาวบ้านเหมือนปรกติเคยทำมา และวันนั้นเสือจ๋ายก็ได้ไปร่วมฟังเทศน์เหมือนเคย และทางตำรวจ ก็คงจะสืบมาแน่นอนแล้วว่า ยังไงวันนี้เสือจ๋ายก็ต้องมาฟังเทศน์ที่วัดแน่ จึงเตรียมกำลังไว้จะจับเสือจ๋าย และที่วัดถึงตอนนี้ท่านพ่อท่านเทศน์ไปได้สักครู่ท่านก็เทศน์แบบเทศน์ไปด่าไปว่า " ไอ้จ๋าย ไอ้ฉิบชิ ไปเสียเดี๋ยวตำรวจมาจะทำให้ชาวบ้านที่เขานั่งฟังเทศน์เดือดร้อน" แบบท่านคงจะรู้ว่าเดี๋ยวตำรวจก็ต้องพากันมาล้อมจับเสือจ๋ายแน่ เสือจ๋ายก็ตอบว่า "เดี๋ยวครับท่านพ่อเดี๋ยวผมฟังเทศน์จบแล้ว ผมก็จะไปครับ" ท่านพ่อท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไงท่านก็ด่าว่า "ไอ้ฉิบชิ มึงนี่ดื้อจริงๆ ตามใจมึง" แล้วท่านก็เทศน์ต่อไป พอสักครู่ตำรวจก็กรูกันขึ้นมาบนวัดพากันค้นหาเสือจ๋ายเพื่อจะจับ แต่ก็หาพบเสือจ๋ายไม่ทั้งๆที่เสือจ๋ายก็นั่งอยู่กับที่ไม่ได้ไปไหน เมื่อหาไม่พบตำรวจก็พากันกลับไป เป็นที่งงงันของชาวบ้านที่ไปนั่งฟังเทศน์ยิ่งนัก เสือจ๋ายเป็นผู้เชื่อมั่นในตัวท่านพ่อสุ่นยิ่งนัก และทั้งอำเภอแหลมสิงห์เสือจ๋ายจะกลัวอยู่คนเดียวเท่านั้นคือท่านพ่อ เสือจ๋ายสมัยนั้นเป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านยิ่งนัก ทั้งๆที่ไม่เคยปล้นข่มเหงรังแกใคร มีแต่ฆ่าล้างแค้นเสียส่วนมาก เด็กๆสมัยนั้นถ้าร้องให้แล้วถูกขู่ว่าเดี๋ยวเสือจ๋ายมาจะหยุดร้องทันที เสือจ๋ายเป็นผู้มีจิตใจฮึกหาญนัก เช่นมีอยู่คราวหนึ่งที่วัดท่านพ่อ พวกตำรวจสมัยนั้นพากันมาหาท่านกลุ่มหนึ่งมาขอดีจากท่านบ้างมาไหว้ท่านบ้าง และพอตำรวจกลุ่มนั้นลาท่านและก้าวลงกะไดวัดไป อึดใจต่อมาเสือจ๋ายก็ก้าวขึ้นบันไดมาและตรงเข้ากราบท่านพ่อ ท่านพ่อท่านก็รีบหรี่ตะเกียงลงและด่าว่า "ไอ้จ๋าย ไอ้ฉิบชิ มึงมาทำไมไปเสีย คนอย่างมึงมันไม่มีชีวิตชีวังแล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นกูจะเสียชื่อตาย ไปเสีย ไอ้ฉิบชิ" เสือจ๋ายก็ตอบว่า "ผมอยู่ใกล้ท่านพ่อผมไม่กลัวอะไรหรอก" ท่านพ่อท่านก็ส่ายหัวด่าว่า ไอ้ฉิบชิ อยู่ 2 - 3 คำ แล้วท่านก็หยุด และเสือจ๋ายจะเข้าบีบนวดท่านทันทีเพราะรู้ใจท่านดีว่าท่านก็ด่าไปอย่างนั้นเอง ท่านพ่อท่านก็ถามว่า มึงอยู่ไหนบ้าง หรือถามอะไรของท่านไปตามเรื่องเพราะท่านก็ห่วงลูกศิษย์ท่านเหมือนกัน พอถามอะไรดีแล้วท่านก็จะไล่เสือจ๋ายกลับ และคราวนี้เสือจ๋ายจะกลับทันทีเพราะใจท่านดีว่า ท่านจะไม่พูดครั้งที่สามอีก เรียกว่าอยู่เป็นลูกศิษย์ท่านมาจนล่วงรู้จิตใจท่านดีว่า ตอนไหนสมควรดื้อ ตอนไหนไม่สมควรดื้อ ท่านพ่อสมัยนั้นท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมายและมีอยู่คนหนึ่งไม่ถูกกับเสือจ๋ายด้วย และในฐานะศิษย์เดียวกัน ท่านพ่อท่านก็คงมองแล้วว่าต่อไปอาจจะฆ่ากัน ท่านจึงเรียกมาทั้ง 2 คน และทำตะกรุดให้คนละดอกและบอกว่า " ต่อไปมึงสองคนฆ่ากันไม่ได้หรอก " และก็จริงดังคำท่าน ต่อมาคนทั้งคู่ก็ผิดใจกันถึงขนาดจ้องเอาชีวิตกัน แต่ก็ไม่สามารถฆ่ากันได้ บางทีเสือจ๋ายไปซุ่มยิงแต่ก็มองไม่เห็นตัวบ้าง และมีเหตุให้แคล้วคลาด
กันไปทุกครั้ง สมดังคำท่านพ่อท่านว่า " มึงสองคนนี่ฆ่ากันไม่ได้หรอก "

เสือจ๋ายเมื่อหาคนปราบไม่ได้ เพราะไม่รู้จะปราบยังไง ปืนก็ยิงไม่ออก ออกก็ไม่ถูก ถูกก็ไม่เข้า อะไรทำนองนี้ ก็คิดจะกลับตัวโดยจะหนีไปอยู่ที่อื่นสักพัก กะว่าพอให้ตำรวจลืมก็จะกลับมาตั้งตัวเป็นคนดีต่อไปใหม่ แต่ก็ดูเหมือนจะมีกรรมเวร เพราะพอดีมีนายอำเภอคนหนึ่งอาสาทางการมาปราบเสือจ๋าย นายอำเภอผู้นี้ชื่อว่า " ขุนวาปีนิวาส" นายอำเภอคนนี้มาจากอิสานและเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมคนหนึ่งเหมือนกัน หนังเหนียวปราบเสือร้ายแถบอีสานมาโชกโชน ข่าวว่าเคยจับเสือร้ายๆทีเดียวพร้อมกัน 3 คน นายอำเภอผู้นี้เมื่อมาถึงแหลมสิงห์ และสืบรู้ว่าท่านพ่อสุ่นท่านเป็นอาจารย์ของเสือจ๋าย จึงเข้าไปหาท่านพ่อและพูดว่า "ผมเป็นนายอำเภอรับอาสามาปราบเสือจ๋าย เสือจ๋ายเป็นลูกศิษย์ของท่านให้เรียกตัวมาให้ที" ท่านพ่อท่านก็ว่าเรียกมาคุยกันเรียกให้ได้ แต่ถ้าเรียกมาเพื่อจะจับตัวท่านมาให้ไม่ได้หรอก มันผิดท่านเป็นพระเรียกคนมาให้ถูกจับท่านทำไม่ได้ ถึงตอนนั้นนายอำเภอคงจะโมโหจึงพูดตัดบทกับท่านเป็นทำนองท้าทายเสือจ๋ายว่า "ผมเป็นนายอำเภอ ถ้าปราบเสือจ๋ายไม่ได้ผมจะไม่เป็นนายอำเภอ" และยังพูดดูหมิ่นอีกว่า "เสือจ๋ายมันจะแน่สักแค่ไหน เห็นข่าวว่าปืนยิงไม่ออกแต่ถ้าผมยิงมันต้องยิงออก" นายอำเภอเมื่อพูดเสร็จแล้วก็ลาท่านกลับไป เมื่อเสือจ๋ายมาหาท่านจึงว่า "ไอ้เณร: นายอำเภอเขามาหากู เขาพูดกับกูว่าถ้ายิงมึงไม่ได้เขาจะไม่เป็นนายอำเภอ" แล้วท่านก็พูดสั่งสอนให้เสือจ๋ายหลบหนีไปอยู่ที่อื่นเสียจะได้ไม่ต้องฆ่าฟันกันให้มีกรรมเวรต่อกัน ถึงตอนนี้ก็คงจะเข้าทำนองว่า เสือพบสิงห์ เสือจ๋ายจึงพูดบอกกับท่านพ่อแบบชายชาติเสือทันทีว่า "ผมก็เหมือนกันถ้าฆ่านายอำเภอไม่ได้ผมก็จะไม่เป็นเสือจ๋าย ให้มันรู้ไปว่าวิชาอาคมใครจะแน่กว่ากัน" ตั้งแต่นั้นมาเสือจ๋ายกับนายอำเภอจึงตามล่ากันเรื่อยมา แต่ก็ไม่มีโอกาสประจันหน้ากันจังๆซักที จนวันหนึ่งทางนายอำเภอสืบทราบว่าเสือจ๋ายได้ไปหลบซ่อนตัวแถวบ้านเขาน้อยซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอแหลมสิงห์ราว 2 - 3 กิโลเมตรจะได้ นายอำเภอพร้อมด้วยกำลังตำรวจ 11 คน จึงพากันไปล้อมบ้านไว้ เสือจ๋ายเมื่อนายอำเภอจะไปถึงได้มีน้องชายมาส่งข่าวแล้วว่า ตำรวจกำลังมาให้รีบหนีไปเสีย เสือจ๋ายจึงถามว่าใครนำมา ใช่นายอำเภอหรือเปล่า พอน้องชายตอบว่าใช่นายอำเภอนำมา เสือจ๋ายจึงไล่ให้น้องชายไปและส่งเงินให้ 500 บาท และว่า "เงิน 500 บาท นี้มึงเอาไว้ทำศพตอนกูตาย วันนี้กูจะต้องฆ่านายอำเภอให้ได้และมึงรีบหนีไปเสีย" เมื่อน้องชายไปแล้วเสือจ๋ายจึงเอาปืนมาสักที่ข้อมือไว้ทั้งข้างซ้ายและข้างขวาข้างละกระบอก เตรียม พร้อม ตำรวจเมื่อมาล้อมบ้านไว้แล้วแต่ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นไปบนบ้านเพราะความกลัวเสือจ๋าย ได้แต่ตะโกนให้เสือจ๋ายออกมามอบตัวเมื่อเห็นเสือจ๋ายเงียบ จ่าเซิบก็บุกขึ้นบนบ้านเปิดห้องประจันหน้ากับเสือจ๋ายซึ่งอยู่ในห้องต่างคนต่างยิงแต่ปืนของจ่าเซิบยิงไม่ออก เสือจ๋ายจึงยิงบ้างถูกเข้าหน้าอกจ่าเซิบตายคาที่ นายอำเภออยู่ข้างนอกได้ยินเสียงปืนเงียบลง จึงบุกขึ้นไปบนบ้านและถลันเข้าไปในห้องประจันหน้ากับเสือจ๋าย เสือจ๋ายจึงว่า "นายอำเภอวันนี้เราก็เจอกันแล้ว เรามาดวลปืนกันให้มันรู้ไปเสียทีว่าใครจะแน่กว่ากัน นายอำเภอก็ลูกผู้ชายเต็มตัว รับคำท้าทันทีและต่างคนต่างก็ยิง นายอำเภอยิงท่านแต่ยิงไม่ออก เสือจ๋ายจึงยิงถูกข้อมือนายอำเภอ และนายอำเภอก็ยิงอีก 2 นัด ลูกก็ด้านทั้ง 2 นัด เสือจ๋ายจึงยิงถูกสีข้างแถวสะเอวอีก นายอำเภอจึงล้มลงหงายหลัง เสือจ๋ายจึงนั่งคร่อมอกนายอำเภอกะจะยิงซ้ำให้ตาย และขณะที่กำลังคร่อมนายอำเภออยู่นั้นตำรวจคนหนึ่งชื่อ "เป้า" ได้เข้ามาข้างหลัง ตามธรรมดาเมื่อเสือจ๋ายหันมาเห็นจะยิงก็คงตาย แต่เสือจ๋ายหันมาเห็นก็ไม่ได้สนใจเพราะเคยกินน้ำสาบานกันมาว่าจะไม่ทำกัน ตำรวจคนนั้นเมื่อเห็นเสือจ๋ายไม่ระวังตัวจึงใช้ด้ามปืนแบบปืนพระรามหกตีท้ายทอยเสือจ๋ายสุดแรงจนล้มคว่ำลง แล้วจึงตะโกนเรียกตำรวจที่อยู่ข้างล่างให้ขึ้นมาช่วยกันใช้ด้ามปืนรุมตีจนเสือจ๋ายตายจริงๆ จะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก จึงใช้ปืนยิงซ้ำแต่ปืนก็ยิงไม่ออก หนึ่งในจำนวนนั้นจึงออกหัวคิดให้เยี่ยวรดเสือจ๋ายเป็นการล้างของดีออกจากตัว แต่เมื่อเยี่ยวรดแล้วก็ยังยิงไม่ออกอีก ทีนี้ทุกคนจึงช่วยกันค้นหาของตามตัวเสือจ๋าย เช่น ตะกรุด, ผ้ายันต์, พระ ถอดออกจากตัวเสือจ๋ายจนหมดแล้วใช้ปืนยิงคราวนี้ปรากฏว่ายิงออกจึงช่วยกันรุมยิงจน มั่นใจว่าตายแล้วแน่นอน แล้วจึงช่วยกันหามร่างนายอำเภอลงมารวมทั้งศพจ่าเซิบด้วย แต่นายอำเภอทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็สิ้นใจตายตามเสือจ๋ายไปด้วย ทางเสือจ๋ายญาติพี่น้องก็เอาตัวไปเผา ส่วน พระ, ตะกรุด, ผ้ายันต์ คนที่เห็นเล่าว่ามีเป็นกองๆ ต่างคนต่างหยิบฉวยเอากัน แต่ที่แย่งกันหาคือตะกรุดโทนท่านพ่อ และตะกรุด 3 กษัตริย์ แต่ก็ไม่ทราบว่าผู้ใดได้ไป

ท่านพ่อเมื่อมีคนไปบอกกับท่านว่าเสือจ๋ายถูกรุมตีตาย ท่านก็นั่งอึ้งไปแล้วท่านก็ว่า "ไอ้จ๋าย ไอ้ฉิบชิ มันฆ่าเขามามากมายนัก มันก็ต้องถูกเขาฆ่าบ้างเหมือนกัน มันหมดเวรกรรมแล้ว ไอ้ฉิบชิ ท่านพ่อท่านคงเสียใจเหมือนกัน ในการที่ลูกศิษย์ท่านตาย เพราะท่านรู้ดีว่าลูกศิษย์ท่านถูกเขาตราหน้าว่าเป็นเสือ ทั้งๆที่ไม่เคยปล้นใครเป็นเสือเพราะเขารังแกกลั่นแกล้ง จึงต้องเป็นเสือ และพอรู้ว่าถูกเพื่อนร่วมน้ำสาบาน ทรยศใช้ด้ามปืนตีตอนเผลอท่านก็ว่า "ไอ้ฉิบชิ มันเป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกัน แล้วมาทรยศกันมันจะเจริญได้อย่างไรวะ" และนี่ก็ดูเหมือนจะเป็นคำประกาศิตท่านตำรวจคนนั้นต่อมาก็มีเหตุให้ต้องออกจากตำรวจ และบั้นปลายชีวิตตอนตายต้องดิ้นทุรนทุรายกระเสือกกระสนจนกว่าจะตายได้ทรมานอยู่นานจึงจะสิ้นใจ และมีตำรวจที่ไปด้วยและได้ร่วมรุมตีเสือจ๋ายมาคุยลั่นที่วัดว่าเป็นผู้ตีเสือจ๋ายสุดแรงเกิดด้วยด้ามปืน แบบจะโม้อวดชาวบ้านที่ยืนฟังอยู่ท่านพ่อท่านได้ยินเข้าท่านก็ว่า "ไอ้ฉิบชิ กูว่ามึงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนหมามากกว่า "ตำรวจคนนั้นถึงกับอายหยุดเงียบทันที ท่านพ่อสุ่น สมัยนั้นท่านเป็นผู้มีตบะอำนาจยิ่งนัก ท่านว่าใครจะไม่มีใครกล้าโกรธท่านเถียงท่านเพราะชื่อเสียงความเป็นจริงของท่านดังมาแต่ครั้งสมัยฝรั่งเศส ยึดแหลมสิงห์อยู่แล้ว

อ่านต่อ พิธีปลุกเสกตะกรุดของท่านพ่อสุ่น >>

 
วัดปากน้ำแหลมสิงห์ ตำบลปากน้ำแหลมสิงห์ อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี
www.watpaknamlaemsing.org Copyright © 2011